ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ผลัดใบขนาดใหญ่สูงตั้งแต่ 20 เมตรขึ้นไป ผิวเปลือกลำต้นหนา มีสีน้ำตาลหรือเทา ลำต้น แตกหยาบเป็นร่องลึก มีเรือนยอดทึบ กิ่งสั้นไม่แผ่กว้าง ใบเป็นช่อแตกออกจากปลายกิ่ง มีใบย่อยประกอบอยู่ประมาณ 6-12 ใบ มีขนาดยาวประมาณ 2-3 นิ้ว กว้างประมาณ 1-2 นิ้ว เป็นรูปมนรีปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ ดอกเป็นช่อออกบริเวณโคนก้านใบหรือปลายกิ่ง มีสีเหลือง ผลมีขนเล็กๆปกคลุม ขนาดผลโตประมาณ 4-6 ซม.
การกระจายพันธุ์
พบทั่วไปในป่าเขตร้อน ในประเทศอินเดีย พม่า อินโดนีเซีย ลาว ไทย กัมพูชา และทางใต้ของประเทศเวียดนาม นอกจากนี้พบในแถบอาฟริกาและอเมริกา ในที่ที่มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับเอเชีย
ปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสม
ประดู่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีดินร่วนปนทราย (sandy loam) ดินลึก และมีการระบายน้ำดี เป็นพันธุ์ไม้ที่ต้องการแสง สามารถขึ้นได้ตามไหล่เขา ที่ราบ ยอดเขาเตี้ย ๆ ใกล้บริเวณแหล่งน้ำที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-600 เมตร โดยทั่วไปประดู่ตามธรรมชาติ พบในพื้นที่ๆมีปริมาณน้ำฝนอยุ่ระหว่าง 899-4,572 มม.ต่อปี หรืออาจจะมากกว่านี้ อุณหภูมิสูงสุดอยู่ระหว่าง 37.7-44.4 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ระหว่า 4.4-11.1 องศาเซลเซียส
การปลูกและการดูแลรักษา
การขยายพันธุ์ทำได้มากมายหลายวิธี ซึ่งโดยวิธีการเพาะเมล็ด ควรทำในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อนประมาณเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิและความชื้นเหมาะที่สุดสำหรับการงอกของเมล็ดและปัญหาเกี่ยวกับโรคราไม่ค่อยมี เมื่อโตได้ที่อายุ 5-8 เดือน จึงทำการปลูกกล้า
ในระยะแรกหลังการปลูกกล้าควรรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น เมื่อกล้าไม้ตั้งตัวได้ดีแล้ว ลดการให้น้ำเหลือวันละครั้ง และควรถอนวัชพืชเดือนละ 1-2 ครั้ง การกำจัดวัชพืชควรทำในช่วงฤดูแล้งเพราะจะช่วยป้องกันไฟด้วย
ข้อจำกัดของไม้ประดู่
ประดู่เป็นพรรณไม้ที่มีการเจริญเติบโตช้าระยะแรกที่ปลูก มักมีอัตราการรอดตายต่ำ เมื่อปลูกไปแล้วควรติดตามผลของการปลูก หากต้นไม้ตายควรเร่งทำการปลุกซ่อมเพื่อให้มีต้นไม้ขึ้นเต็มจำนวนมากที่สุด อันจะทำให้การบำรุงรักษาสวนป่าในปีต่อๆไป จัดทำได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายน้อย