ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เปลือกหนามีสีน้ำตาลเทา กะเทาะล่อนเป็นแว่นหรือเป็นแผ่นขนาดเล็ก เนื้อไม้สีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง ใบเป็นช่อ ส่วนมากจะมีใบประกอบย่อย 11-17 ใบ ใบกว้าง 1-4 ซม. ยาว 4-8 ซม. ฐานใบกลมหรือเป็นรูปลิ่มกว้างๆ ปลายใบมนทู่หรือหยักเว้าเล็กน้อย ทางด้านท้องใบจะมีสีจางกว่าหลังใบ ดอกมีสีขาวอมม่วง เมล็ดส่วนมากจะเป็นเมล็ดเดี่ยว มีลักษณะคล้ายรูปไตสีน้ำตาล กว้าง 0.6 ซม. ยาว 1 ซม.
การกระจายพันธุ์
พบทั่วไปในประเทศพม่า ลาว และไทย กระจายทั่วไปในป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรังที่มีสภาพแห้งแล้ง เป็นดินลูกรัง ประเทศไทยพบขึ้นอยู่ทุกภาคยกเว้นภาคใต้
ปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสม
ไม้ชิงชันจะขึ้นอยู่ที่ที่อุณหภูมิใต้ร่มไม้สูงสุดระหว่าง 40-43 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุดระหว่าง 4.4-7.2 องศาเซลเซียส มีปริมาณน้ำฝนระหว่าง 875-2,000 มม.ต่อปี เกิดในบริเวณพื้นดินที่มีการระบายน้ำดี และในพื้นที่ที่มีความสูงใกล้กับระดับน้ำทะเล จนถึง 500 เมตร จากระดับน้ำทะเล
การปลูกและการดูแลรักษา
ไม้ชนิดนี้ไม่ควรเพาะชำกลางแจ้ง เนื่องจากเป็นไม้ที่ต้องการร่มเงาในช่วงแรกของการเจริญเติบโต ในช่วงแรกหลังจากการย้ายชำควรรดน้ำเช้าและเย็น และมีการรดน้ำเสริมในวันที่มีอากาศร้อนจัด หลังจากกล้าไม้ตั้งตัวได้จึงลดปริมาณการให้น้ำลง กล้าไม้ชิงชันจะโตถึงขนาดที่สามารถย้ายปลูกได้ เมื่ออายุ 6 เดือน โดยจะมีความสูงประมาณ 30-40 ซม. หากพื้นที่ที่จะนำไปปลูกแล้งจัด ก็ควรจะทำการเก็บกล้าไม้ไว้ปลูกในฤดูฝนต่อไป
ไม้ชิงชันแม้ว่าจะสามารถทนต่อไฟป่าที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีได้ แต่ถ้าเป็นไฟป่าชนิดไฟเรือนยอดแล้วมักจะตาย ดังนั้นการทำแนวกันไฟก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับไม้ชนิดนี้ และหากจะปล่อยสัตว์ไปเลี้ยงในสวนป่าชิงชัน ควรปล่อยในระยะที่กล้าไม้มีความสูงในระดับที่ปลอดภัยแล้วประมาณ 5 ปี เนื่องจากพบว่าสัตว์อาจกินยอดอ่อนของกล้าไม้ชิงชันได้
ข้อจำกัดของไม้ชิงชัน
ในระยะแรกของการปลูก ชิงชันต้องการการดูแลมากพอสมควร ปัญหาเรื่องโรคและแมลงที่อาจเกิดขึ้นได้คือ โรคเน่าคอดิน ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้โดยการควบคุมการให้น้ำไม่ให้แฉะเกินไป