ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ โตเร็ว ลำต้นเปลาตรง เมื่ออายุยังน้อยเปลือกจะเรียบ หากมีอายุมากขึ้นเปลือกจะแตกล่อนเป็นแผ่น เรือนยอดเป็นพุ่มมค่อนข้างโปร่ง มีกิ่งก้านน้อย ใบเป็นรูปช่อแบบขนนก ใบย่อยรูปหอกแกมใบมน ฐานใบเบี้ยวไม่เท่ากัน ดอกเป็นช่อตามง่ามใบ สีขาวอมเขียวอ่อน มีกลิ่นหอม ดอกจะออกประมาณต้นเดือนมีนาคม ผลเป็นรูปไข่ ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่สีเหลือง เนื้อภายในนุ่มสามารถรับประทานได้
การกระจายพันธุ์
พบได้ในภาคใต้ของประเทศไทย มีการกระจายตั้งแต่จังหวัดชุมพรและสุราษฎธานีลงไป โดยพบมากที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง สงขลา และพัทลุง
ปัจจัยแวดล้อมที่เหมาะสม
สะเดาเทียมมีการกระจายอยู่เฉพาะในเขตจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศ ดังนั้นปัจจัยแวดล้อมที่มีอิทธิพลจึงน่าจะเป็นสภาพภูมิอากาศ ที่มีอุณหภูมิฉลลี่ยอยู่ระหว่าง 20-35 องศาเซลเซียส สะเดาเทียมจะมีการเจริญเติบโตได้ดีที่ปริมาณน้ำฝนประมาณ 1,600-2,000 มม.ต่อปี มีฝนตกเฉลี่ย 144 วันต่อปี นอกจากปริมาณน้ำฝนแล้ว ดินเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของไม้สะเดาเทียม โดยดินที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีคือดินร่วนปนทราย ซึ่งมีการระบายของน้ำและอากาศดี ดินลึก มีแร่ธาตุอาหารอุดมสมบูรณ์ และจากการสำรวจไม้สะเดาเทียมที่ปลูกในพื้นที่ราบจะมีอัตราการเจริญเติบโตดีกว่าปลูกในพื้นที่ชัน
การปลูกและการดูแลรักษา
ส่วนมากขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด เนื่องจากสะเดาเทียมสามารถขยายพันธุ์ได้ง่าย หากเพาะเสร็จแล้ว ก่อนการนำไปปลูกควรมีการทำให้กล้าไม้แกร่งเสียก่อน โดยการลดการให้น้ำลงและค่อยๆเปิดหลังคาเพื่อให้กล้าได้รับแสงทีละน้อย จนกระทั่งได้รับแสงเต็มที่เป็นระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งจะทำให้กล้าไม้มีอัตราการรอดตายสูง การปลูก จะเริ่มปลูกประมาณเดือนพฤษภาคม – ธันวาคม แล้วแต่สภาพน้ำฝนในแต่ละท้องที่ เมื่อปลูกแล้วมักจะปล่อยตามธรรมชาติ อาศัยน้ำฝนเป็นหลักและไม่มีการใส่ปุ๋ย และการปลูกซ่อมจะเริ่มทำตั้งแต่ 1-2 เดือนแรกที่ปลูก
ข้อจำกัดของไม้สะเดาเทียม
การขยายพันธุ์ด้วยการใช้เมล็ด เมล็ดที่ได้มาควรรีบเพาะทันที เนื่องจากไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน โดยอัตราการงอกจะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 สัปดาห์หลังจากเก็บ